ไฟนอล โฟร์ ยูซีแอล เยอรมนี เปิดศึก ฝรั่งเศส
ฟุตบอลยุโรปถ้วยใบใหญ่ หรือ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ฤดูกาล 2019-20
ได้ทีมผ่านเข้าสู่รอบรองชนะเลิศเป็นที่เรียบร้อย โดยศึกครั้งนี้กลายเป็นการดวลกันของสโมสรจากเยอรมนี ที่โคจรมาพบกับ ฝรั่งเศส
โดย 2 ทีมเต็งอย่าง “เสือใต้” บาเยิร์น มิวนิค และ “เปแอสเช” ปารีส แซงต์แชร์กแมงค์ เข้ารอบได้ตามคาด แต่ยังมีขวากนามขวางหน้าอยู่ เมื่อทั้ง ไลป์ซิก และ โอลิมปิก ลียง พร้อมสวมวิญญาณแจ๊คผู้ฆ่ายักษ์ วันนี้เราลองมารีวิวและคาดการณ์สิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นกันหน่อย
“เอ็มบัปเป้” ปลุกชีวิตชีวา “เปแอสเช”
ในขณะที่ครึ่งแรกสกอร์ตกเป็นรอง 0-1 ปารีส แซงต์แชร์กแมงค์ ยักษ์ใหญ่ของฝรั่งเศส กำลังต่อกรกับความสดและความฮึกเหิมของ อตาลันต้า ทีมที่ยิงในกัลโช่ เซเรีย อา อิตาลี ไปถึง 98 ประตู เมื่อเข็มนาฬิกาผ่านมาถึงหนึ่งชั่วโมงพอดี โธมัส ทูเคิ่ล กุนซือชาวเยอรมัน ต้องตัดสินใจส่ง คิเลี่ยน เอ็มบัปเป้ ลงเป็นตัวสำรองหลังจากอาการบาดเจ็บข้อเท้าดีขึ้น ซึ่งตัวรุกวัย 21 ปี ก็ปลุกความมีชีวิตชีวาของทีมกลับมาได้โดยพลัน เกมรุกที่มืดบอดหนทางในการเจาะเกมรับ อตาลันต้า กลับมีแสงสว่างมีช่องให้เห็น การเคลื่อนที่ของ เอ็มบัปเป้ เปิดพื้นที่ให้ เนย์มาร์ ได้โลดแล่นสไตล์แซมบ้า ก่อนที่ เนย์มาร์ จะเปิดบอลให้ มาร์ควินญอส เพื่อนร่วมทีมชาติบราซิลยิงประตูตีเสมอ 1-1 ในนาทีสุดท้าย เท่านั้นไม่พอช่วงทดเจ็บนาทีที่ 3 คราวนี้ เอ็มบัปเป้ ขอแอสซิสต์บ้างให้ มักซิม ชูโป-โมติง อีกหนึ่งตัวสำรองซัดประตูชัยให้ “เปแอสเช” พลิกสถานการณ์กลับมาชนะ 2-1 ตีตั๋วผ่านเข้ารอบรองชนะเลิศ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ได้เป็นครั้งแรกตั้งแต่ปี 1995 โดยตลอดช่วง 9 ปีหลัง ยอดทีมแห่งกรุงปารีส ทุ่มทุนสร้างซื้อนักเตะเข้าทีมไปทั้งสิ้น 1.42 พันล้านดอลล่าร์สหรัฐ หรือกว่า 4.2 หมื่นล้านบาท หนึ่งในนั้นคือการทุ่มเงินไปคว้า เอ็มบัปเป้ มาจาก โมนาโก คู่แข่งร่วมลีกเอิง ซึ่งเพชรเม็ดนี้นับวันยิ่งมีมูลค่าในตลาดสูงลิบ แต่เหนือสิ่งอื่นใด อีกแค่ 2 ก้าว เด็กหนุ่มคนนี้กำลังจะนำทีมบ้านเกิดไปลุ้นแชมป์ยุโรป แต่คงต้องถาม ไลป์ซิก ดูว่าจะยอมศิโรราบให้ง่ายๆ หรือไม่ ในการตัดเชือกกัน
“ไลป์ซิก” ขาด “แวร์เนอร์” ไม่ตาย
การขาย ติโม แวร์เนอร์ ให้กับ “สิงโตน้ำเงินคราม” เชลซี แห่งพรีเมียร์ลีก อังกฤษ ด้วยค่าตัว 47.5 ล้านปอนด์ หรือราวๆ 1,900 ล้านบาท ทำให้หลายฝ่ายแทบกาชื่อ ไลป์ซิก ออกจากการลุ้นแชมป์ยูซีแอล แต่ “กระทิงแดง” แห่งเยอรมนี ไม่คิดยอมแพ้ง่ายๆ วิ่งสู้ฟัดตามสไตล์ และก็หักด่านหินถลกหนัง “ตราหมี” แอตเลติโก้ มาดริด ลงได้ในที่สุด ในเกมรอบ 8 ทีมสุดท้าย ลูกทีมของ ยูเลี่ยน นาเกลส์มันน์ ถูกมองว่าชื่อชั้นและกระดูกบอลยังเป็นรองยอดทีมแห่งลา ลีก้า สเปน แต่ยิ่งเวลาของการแข่งขันผ่านไปเท่าไหร่ ไลป์ซิก ก็ยิ่งแสดงให้เห็นถึงความกล้าได้กล้าเสียที่จะเดินเกมรุกใส่ ชนิดที่ว่าต่อยก่อนได้เปรียบ และก็ได้ประตูนำ 1-0 ช่วงต้นครึ่งหลังจากลูกโหม่งของ ดานี่ โอลโม่ ซึ่งถ้าทีมไม่ขาย แวร์เนอร์ ออกไป ก็ไม่รู้ว่าตัวรุกดาวรุ่งชาวสเปนผู้นี้จะได้ลงเล่นหรือไม่ แม้ ชูเอา เฟลิกซ์ จะลงมาเรียกจุดโทษและเป็นผู้รับหน้าที่สังหารตีเสมอให้ แอต.มาดริด เป็น 1-1 จนมาถึงช่วงท้าย ในขณะที่ “ตราหมี” เน้นเกมรับเพื่อรอให้ ดีเอโก้ ซิมิโอเน่ ไปแก้เกมในช่วงต่อเวลา แต่ ไลป์ซิก กลับกล้าที่จะเปลี่ยนบรรดาแนวรุกดาวรุ่งลงมาบดขยี้ จนได้ผล ไทเลอร์ อดัมส์ สวมบทซูเปอร์ซับยิงนำชัยให้ต้นสังกัดเบียดชนะ 2-1 เข้าถึงรอบรองชนะเลิศ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก เป็นสมัยแรกของทีม ซึ่งประวัติศาสตร์อาจไม่จารึกไว้เพียงเท่านี้ หาก “กระทิงเปลี่ยว” ยังพร้อมวัดให้ตายกันไปข้างกับ ปารีส แชร์กแมงค์ ในคืนวันอังคารที่จะถึง
“เสือใต้” ประกาศศักดาเกมรุก
ถ้าจะพูดถึงสกอร์ 8-2 หลายคนคงนึกว่า บาร์เซโลน่า ไปรังแกใครอีก แต่หาเป็นเช่นนั้นไม่ เมื่อ “เจ้าบุญทุ่ม” ยอดทีมของโลกจากสเปน โดน “เสือใต้” บาเยิร์น มิวนิค ไล่ขย้ำไม่เหลือชิ้นดี และนี่คือการทำสกอร์รวมมากที่สุดเป็นอันดับ 3 ในประวัติศาสตร์ฟุตบอลยุโรปถ้วยใบใหญ่ ส่วนโศกนาฏกรรมที่เกิดขึ้นในสังเวียนลูกหนังเกมนี้ ต้องบอกว่า บาเยิร์น มิวนิค ดูมั่นใจมากกว่า บาร์เซโลน่า ตั้งแต่ยกแรกในการส่งรายชื่อ 11 ตัวจริง โดย ฮันส์-ดีเตอร์ ฟลิค ยังจัดเกมรุกเต็มสูบตามสไตล์ ไว้วางใจผู้เล่นอย่าง อีวาน เปริซิช ให้ลงตัวจริงต่อไป หลังจากทำผลงานได้เยี่ยม ขณะที่ กีเก้ เซเตียน กลับเลือกเปลี่ยนธรรมชาติของบาร์ซ่า ที่เน้นเกมบุกในระบบกองหน้า 3 ตัว ด้วยการถอด อองตวน กรีซมันน์ ออกไป เหลือเพียง ลิโอเนล เมสซี่ ประสานงาน หลุยส์ ซัวเรซ และเมื่อสัญญาณนกหวีดเริ่มเกมดังขึ้น “เสือใต้” ดูหิวกระหายอย่างเห็นได้ชัด ฟลิค สั่งลูกทีมเพรสซิ่งตั้งแต่แดนบน บีบให้ บาร์เซโลน่า ตั้งเกมกันยาก ซึ่งก็ได้ผลจริงๆ เมื่อยอดทีมของสเปนเสียบอลในแดนตัวเองบ่อยครั้ง และเผอิญว่าเกมบุก บาเยิร์นฯ ร้อนฉ่าอย่างกับอะไรดี มหกรรมการทำถล่มประตูแบบไว้หน้าจึงเกิดขึ้นอย่างที่เห็น ถึงตอนนี้ ยักษ์ใหญ่ของเยอรมนี ถูกมองว่าเป็นเต็งจ๋าในการคว้าแชมป์สมัยที่ 6 หลังจากที่ “เรือใบสีฟ้า” แมนเชสเตอร์ ซิตี้ อับปางด้วยน้ำมือ โอลิมปิก ลียง
“ลียง” ลงเป็นยิง
ถือเป็นคู่ล็อกถล่มประจำรอบก่อนรองชนะเลิศก็ว่าได้ เมื่อ แมนฯ ซิตี้ หนึ่งในทีมเต็งแชมป์จากเกาะอังกฤษ เสียท่าให้กับ โอลิมปิก ลียง ของฝรั่งเศส 1-3 แต่หากใครได้นั่งดูเกมนี้ ต้องบอกว่า “โอแอล” ชนะด้วยการวางแท็คติกเกมรับของ รูดี้ การ์เซีย และการเล่นเป็นระเบียบมีวินัยของนักเตะในสนามอย่างแท้จริง โดย ลียง ชุดนี้อุดมไปด้วยนักเตะดาวรุ่งที่ใช้ความฟิตของร่างกายวิ่งไล่บี้บอล ปิดพื้นที่คู่แข่ง จนไม่มีช่องให้เหล่าซูเปอร์สตาร์ “เรือใบสีฟ้า” เจาะเข้าทำแบบเหมาะเหม็ง หรือแม้มีจังหวะได้ง้างยิงก็มักจะไม่ผ่านเซฟของ แอนโธนีย์ โลเปส จะมีก็แต่เพียงลูกยิงตีเสมอสุดนิ้งของ เควิน เดอ บรอยน์ ที่ผ่านมือนายทวารโปรตุกีสไปซุกก้นตาข่าย ทว่านั่นเป็นเพียงลูกเดียวที่ทีมเป็นต่อสูดกู่ทำได้ ในทางกลับกันทีมเป็นรองอย่าง ลียง กลับยิงได้ถึง 3 ประตู สมฉายา “ลียง ลงเป็นยิง” ซึ่งทั้งสามลูกล้วนเป็นลูกยิงที่เฉียบคม แม็กซิม กอร์กเนต์ บวกกับตัวสำรองสุดป่วนอย่าง มุสซ่า เดมเบเล่ ที่ลงมาฝัง “เรือใบ” ให้อย่างแท้จริง โดยรอบน็อกเอาต์ที่ผ่านมา ลียง ฝ่าด่านมาได้ทั้ง ยูเวนตุส (อิตาลี) และ แมนฯ ซิตี้ (อังกฤษ) แต่ถ้าจะไปให้สุดขอบฟ้า รอบรองชนะเลิศ “โอแอล” ต้องลองสยบ “เสือใต้” ดูสักตั้ง ซึ่งก็ต้องมาดูว่าคืนวันพุธที่จะถึงนี้ เกมรับและลูกขยันอดทนของ ลียง จะต่อกรกับจินตนาการและความเฉียบคมในเกมรุกของ บาเยิร์น มิวนิค ได้ดีขนาดไหน เดี๋ยวแฟนๆ ก็จะได้เห็นโฉมคู่ชิง ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก และรู้แชมป์ประจำฤดูกาล 2019-20 กันแล้ว อดใจกันอีกหน่อยคงไม่นานเกินรอ
ติดตามข่าวสารได้ที่ :: ข่าวฟุตบอล ใหม่สด ทุกวัน
บทความข่าวฟุตบอล :: อ่านบทความฟุตบอลก่อนหน้านี้
เว็บดูบอลออนไลน์ :: ดูบอลออนไลน์ฟรี