“โอซิล” นักเตะที่โลกลืม
เมื่อวันที่ 20 ตุลาคมที่ผ่านมา แต่ละสโมสรในฟุตบอลพรีเมียร์ลีก อังกฤษ
ส่งรายชื่อลงทะเบียนนักเตะ 25 คน แบ่งเป็นผู้เล่นโฮมโกรน 8 คน และผู้เล่นชาวต่างชาติอีกทั้งสิ้น 17 คน
ปรากฏว่าหลายสโมสรมีแข้งขึ้นชื่อต้องหลุดโผไป แต่ในส่วนของ “ปืนใหญ่” อาร์เซนอล ได้ตัดสินใจตัดชื่อ เมซุต โอซิล ออกไป นั่นหมายความว่าทีมดังแห่งกรุงลอนดอน ยอมที่จะจ่ายค่าเหนื่อยมหาศาล 3.5 แสนปอนด์ หรือราวๆ 14 ล้านบาท เพื่อให้นักเตะมาซ้อมกับเพื่อนๆ ในแต่ละสัปดาห์เท่านั้น ซึ่งเหตุผลกลใดที่ มิเกล อาร์เตต้า เมินแข้งซูเปอร์สตาร์รายนี้ และอนาคตต่อไปของอดีตดาวเตะทีมชาติเยอรมนีจะเป็นอย่างไร Football Moment พร้อมมาไขกันทีละประเด็น
โอซิล VS อาร์เตต้า
ย้อนกลับไปเมื่อสองปีก่อน เมซุต โอซิล ตัดสินใจครั้งสำคัญฝากอนาคตไว้ในถิ่นเอมิเรตส์ สเตเดี้ยม ต่อไป ด้วยการจรดปากกาเซ็นสัญญายาวอีก 3 ปีครึ่ง กลายเป็นนักเตะที่มีค่าเหนื่อยแพงที่สุดในประวัติศาสตร์สโมสร รับไปเบาะๆ สัปดาห์ละ 350,000 ปอนด์ แต่เมื่อหมดยุคของ อาร์แซน เวนเกอร์ ดูเหมือนบทบาทของแข้งทีมชาติเยอรมนีเชื้อสายเติร์ก เริ่มหมดคุณค่าไปทุกที จะด้วยปัญหาอาการบาดเจ็บ หรือสภาพร่างกายที่ไม่พร้อมเต็มร้อย โอซิล กลายเป็นส่วนเกินของสโมสรไปเรื่อยๆ จนมาถึงยุค มิเกล อาร์เตต้า
โดยโอซิลลงสนามครั้งสุดท้ายให้อาร์เซนอลคือเกมลอนดอนดาร์บี้แมตช์กับ “ขุนค้อน” เวสต์แฮม ยูไนเต็ด เมื่อวันที่ 7 มีนาคมที่ผ่านมา แต่หลังจากเชื้อร้าย ไวรัสโควิด-19 ระบาดไปทั่วโลก เพลย์เมคเกอร์วัย 32 ปี ก็ไม่เคยได้โอกาสจาก อาร์เตต้า อีกเลย ซึ่งเรื่องนี้ โอซิล เปิดใจว่าผิดหวังเป็นที่สุด แต่ก็พยายามจะสู้เพื่อได้โอกาสกลับมาลงเล่นอีกครั้ง ขณะที่ อาร์เตต้า ไม่ได้ยอมรับกับสื่อเมืองผู้ดีว่ามีปัญหาส่วนตัวอะไรกันหรือไม่ เพียงแต่ให้สัมภาษณ์ว่า เขาตัดสินใจทำในสิ่งที่ดีที่สุดที่โค้ชจะทำเพื่อสโมสรได้ โดยเลือกนักเตะที่เหมาะสมเล่นให้ทีมในฤดูกาล 2020-21 และพร้อมที่จะยืดอกรับผิดชอบกับการตัดสินใจครั้งนี้ทุกกรณี
ไม่เข้ากับแท็คติกโค้ช
ตั้งแต่ อาร์เตต้า เข้ามารับตำแหน่งกุนซือ อาร์เซนอล สิ่งที่แฟนๆ เห็นได้ชัดคือ ระบบการเล่นที่กุนซือชาวสเปน ปรับรูปแบบมาเล่นในระบบ 3-5-2 เน้นแท็คติกเกมรับให้เหนียวแน่นไว้ก่อนด้วยการอัดหลังไว้ 3 คน เกมบุกขับเคลื่อนโดยวิงแบ็ก ขณะที่มิดฟิลด์ตัวกลางเน้นผู้เล่นที่ตัดเกม เล่นเกมรับได้ดีมาเป็นอันดับแรก โดยมั่นใจว่าคู่กองหน้าอย่าง อเลซ็องด์ ลากาแซตต์ และ ปิแอร์–เอเมริก โอบาเมยัง สามารถเอาตัวรอดได้ ซึ่งผลงานของ “ปืนใหญ่” ก็ดีขึ้นอย่างผิดหูผิดตา สามารถคว้าแชมป์เอฟเอ คัพ ประจำซีซั่น 2019-20 มาครอง แถมประเดิมซีซั่นใหม่ด้วยการคว้าถาดแชมป์ คอมมูนิตี้ ชิลด์ มากอดได้อีกด้วย
เมื่อมองถึงแท็คติกดังกล่าวอาร์เตต้าไม่มีความจำเป็นต้องใช้โอซิลแม้แต่น้อยในเมื่อแผงมิดฟิลด์มีตัวรับธรรมชาติอย่างกรานิตชาก้าและโมฮาเหม็ดเอลเนนีย์คอยตัดเกมอยู่แล้วยิ่งล่าสุดได้โธมัสปาร์เตย์เข้ามาช่วยตรงนี้ทำให้แผงกลาง “ปืนใหญ่” ลงล็อกตามที่ อาร์เตต้า ต้องการ ขณะเดียวกันการที่ อาร์เซนอล ยังมี ดานี่ เซบายอส ห้องเครื่องเพื่อนร่วมชาติที่เล่นเกมรับก็ได้ ปรับโหมดเป็นเกมรุกก็ดี และถึงแม้ “ปืนใหญ่” จะกลับมาใช้ระบบหลัง 4 คน แต่ตรงกลางก็ยังใช้มิดฟิลด์เพียงแค่ 3 คนก็ยังไม่มีพื้นที่ว่างให้แก่โอซิลอยู่ดี
ขณะเดียวกันถ้ามองไปที่นักเตะเกมรุกแบบเพียวๆ การมาของ วิลเลี่ยน ดาวเตะบราซิเลี่ยนที่มีความหลากหลาย ยิ่งเป็นการปิดประตูสนิทสำหรับโอกาสที่ โอซิล จะได้กลับมาสู่ทีม นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไม โอซิล ถึงไม่มีชื่อเป็นหนึ่งใน 25 คน หรือแม้แต่จะมีชื่อลงเล่นในทีมชุดยู 23 ปีของ อาร์เซนอล ด้วยซ้ำไป
ผลงานเป็นแค่อดีต
นับตั้งแต่ เมซุต โอซิล เก็บข้าวของย้ายจาก “ราชันชุดขาว” เรอัล มาดริด ในลา ลีก้า สเปน มาร่วมทีมอาร์เซนอล เมื่อปี 2013 ด้วยค่าตัว 42.5 ล้านปอนด์ หรือประมาณ 1,700 ล้านบาท แข้งจอมเทคนิคฝากผลงานได้ยอดเยี่ยม ลงเตะในพรีเมียร์ลีกให้ต้นสังกัดไปทั้งสิ้น 184 นัด ทำไป 33 ประตู กับอีก 54 แอสซิสต์ นำทีมคว้าชัยไปได้ถึง 100 นัด แพ้เพียง 33 เกมเท่านั้น
แม้โอซิลถูกมองว่าเป็นแข้งศิลปินเล่นตามอารมณ์ด้วยบทบาทเป็น “เพลย์เมคเกอร์” เต็มตัว จึงมีความเป็นไปได้ที่จะออกอาการขี้เกียจไม่ลงไปช่วยทีมเล่นเกมรับเท่าที่ควร แต่ย้อนไปเมื่อฤดูกาล 2016-17 มีสถิติฟ้องว่า โอซิล ก็ไม่ใช่นักเตะประเภทเกียจคร้านซะทีเดียว เมื่อวิ่งไปตลอดทั้งซีซั่นถึง 329 กิโลเมตรเป็นรองเพียงนาโช่มอนเรียลแบ็กซ้ายชาวสเปนเท่านั้น
แต่นั่นก็เป็นแค่ผลงานในอดีตในเมื่อยุคสมัยเปลี่ยนมาเป็นอาร์เตต้าคุมทัพ เรื่อง “เกมรับ” ถือเป็นสิ่งที่เคร่งครัดที่สุดและไม่ว่าโอซิลจะมีปัญหาเกาเหลากับอดีตเพื่อนร่วมทีมหรือไม่แต่นั่นก็เป็นสิ่งที่ผู้เป็นกุนซือได้ตัดสินใจลงไปแล้วซึ่งก็ดูเหมือนว่าโอกาสของโอซิลกับอาร์เซนอลคงไม่มีอีกต่อไปตราบใดที่อาร์เตต้ายังเป็นใหญ่ในถิ่นเอมิเรตส์สเตเดี้ยม
จากนี้ไปทำอะไรดี
ช่วงที่ว่างเว้นจากการลงสนามจริง โอซิล ยังมีหน้าที่เป็นสิงห์สนามซ้อม ลงฝึกซ้อม รักษาสภาพร่างกายของตัวเองให้ดีต่อไป แม้อายุ 32 ปีแล้ว แต่ด้วยฝีเท้าและพรสวรรค์ เชื่อว่ายังมีหลายสโมสรบนโลกใบนี้เห็นฝีเท้า พร้อมเปิดโอกาสให้เขาแน่ๆ แต่คงต้องไปว่ากันในช่วงตลาดซื้อ–ขายนักเตะเปิดรองสองช่วงปีใหม่นี้ ที่จะได้โอกาสถกอนาคตกับบอร์ดบริหาร “ปืนใหญ่” แบบชี้ขาดกันเสียที เนื่องจาก อาร์เซนอล คงไม่ต้องการแบกรับภาระค่าจ้าง โอซิล ไปจนครบสัญญาในวันที่ 30 มิถุนายน ปี 2021 ขณะที่ตัวนักเตะเอง คงไม่อยากให้สนิมเกาะรองเท้าสตั๊ดไปมากกว่านี้ สู้ไปหาความท้าทายใหม่ๆ ดีกว่า ซึ่งก็มีความเป็นไปได้ที่ โอซิล จะยกเลิกสัญญากับ อาร์เซนอล ยอมรับเงินก้อนหนึ่งเป็นค่าแยกทางกันไป และมีแนวโน้มสูงที่เขาจะยอมลดค่าเหนื่อยตัวเองลงมา เพื่อโอกาสได้กลับสู่สังเวียนผืนหญ้าอีกครั้ง อาจจะไปหาความท้าทายใหม่ๆ ในลีกเอเชียอย่าง ไชนีส ซูเปอร์ลีก ซึ่งก็พอมีกำลังเงินในการจ้าง โอซิล หรือไม่ก็เลือกกลับไปปิดฉากอาชีพค้าแข้งในเมเจอร์ลีก ซอคเกอร์ สหรัฐฯ หรือกลับไปสู่จุดเริ่มต้น เล่นให้ทีมที่ปลุกปั้นเขาขึ้นมาอย่าง ชาลเก้ 04 หรือ แวร์เดอร์ เบรเมน ในเวที บุนเดสลีก้า เยอรมนี ก็มีความเป็นไปได้ทั้งนั้น
แต่ถึงณตอนนี้โอซิลคงมีเวลาอยู่กับอามีนกูลเซ่มากขึ้นมีเวลาพาภรรยาคนสวยไปดินเนอร์รับประทานอาหารตุรกีหรือสังสรรค์กับเพื่อนฝูงได้มากขึ้นที่ร้านโปรดอย่าง “ลิคย่า” รวมถึงมีเวลาคิดโครงการ “การกุศล” ต่างๆ เพื่อช่วยเหลือสังคมให้มากขึ้นกว่าเดิม และไม่ลืมที่จะขับรถหรูคันละหลายๆ ล้าน ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนไปยังสนามซ้อมของ อาร์เซนอล เพื่อทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด ก่อนกลับมายังคฤหาสน์หรูมูลค่า 10 ล้านปอนด์ (400 ล้านบาท) ทางตอนเหนือของกรุงลอนดอน เพื่อเชียร์เพื่อนร่วมทีม “ปืนใหญ่” ตะลุยศึกต่างๆ ในฤดูกาลนี้ผ่านการถ่ายทอดสดทางโทรทัศน์ ตามวิถีทางของแข้งอาชีพที่ปัจจุบันกลายสภาพเป็นส่วนเกิน เป็นนักฟุตบอลที่โลก (แทบจะ) ลืมไปแล้วนั่นเอง
ติดตามข่าวสารได้ที่ :: ข่าวฟุตบอล ใหม่สด ทุกวัน
บทความข่าวฟุตบอล :: อ่านบทความฟุตบอลก่อนหน้านี้
เว็บดูบอลออนไลน์ :: ดูบอลออนไลน์ฟรี