16 ปีที่รอคอย “ลีดส์ ยูไนเต็ด” รีเทิร์นสู่พรีเมียร์ลีก
16 ปีที่รอคอย “ลีดส์ ยูไนเต็ด” รีเทิร์นสู่พรีเมียร์ลีก
ใครที่เป็นแฟนบอลยุค 90 หากไม่คุ้นชื่อ “ลีดส์ ยูไนเต็ด” คงไม่สามารถพูดได้เต็มปากว่า คุณรู้จักบอลอังกฤษ
หรือคลั่งไคล้ศึกลูกหนังเมืองผู้ดีมากพอ แต่ไม่เป็นไร เพราะในฤดูกาล 2020-21 ที่กำลังจะมาถึง สโมสรดังแห่งยอร์คเชียร์ จะทำให้แฟนๆ ได้สัมผัสกับแชมป์ ดิวิชั่น 1 ทีมสุดท้าย ก่อนจะเปลี่ยนมาเป็นพรีเมียร์ลีก จนถึงทุกวันนี้
อดีตอันรุ่งโรจน์
แจ็คกี้ ชาร์ลตัน คือ ผู้มีส่วนสำคัญนำเกียรติยศแชมป์ลีกสูงสุดเมืองผู้ดี มาสู่ถิ่นเอลแลนด์ โร้ด เป็นสมัยแรกเมื่อฤดูกาล 1968-69 แต่น่าเสียดายที่ ณ วันนี้ ตำนานกองหลังทีมชาติอังกฤษไม่ได้อยู่เห็นทีมรักเลื่อนชั้นสู่พรีเมียร์ลีก เป็นครั้งแรกในรอบ 16 ปี
แม้ไม่ใช่ทีมใหญ่ระดับประเทศ แต่ ลีดส์ ยูไนเต็ด ในแต่ละทศวรรษมักมีโทรฟี่แชมป์ติดไม้ติดมือมาฝากแฟนๆ ตลอด พวกเขาคือแชมป์ลีกสูงสุดของอังกฤษ 3 สมัย หนสุดท้ายเกิดขึ้นในฤดูกาล 1991-92 ก่อนที่จะเปลี่ยนมาเป็นพรีเมียร์ลีก บอลถ้วยเอฟเอ คัพ หรือ ลีกคัพ ไม่เว้นแต่ถาดแชมป์การกุศลแชริตี้ ชิลด์ “เดอะ พีค็อกส์” (The Peacocks) หรือ “ยูงทอง” ก็มีประดับตู้โชว์มาหมดแล้ว รวมถึงแชมป์ยุโรปอย่าง อินเตอร์-ซิตี้ แฟร์ส คัพ
ถึงแม้แชมป์สุดท้ายจะเกิดขึ้นเมื่อ 28 ปี มาแล้ว แต่ ลีดส์ ยูไนเต็ด ถือเป็นทีมที่สร้างความฮือฮาไม่เว้นแต่ละซีซั่น ยิ่งพอเปลี่ยนยุคจาก จอร์จ เกรแฮม มาเป็น เดวิด โอเลียรี่ เมื่อปี 1998 “ยูงทอง” เริ่มสยายปีกอีกครั้ง เมื่อพลพรรคเด็กปั้นสมัยนั้น ไม่ว่าจะเป็น แฮร์รี่ คีเวลล์ , โจนาธาน วู้ดเกต , เอียน ฮาร์ท , อลัน สมิธ หรือว่า พอล โรบินสัน ขับเคลื่อนทีมจนได้ไปเตะฟุตบอลถ้วยยุโรปถึง 5 ฤดูกาลติดต่อกัน ยิ่งได้ผนึกกำลังกับตัวเก๋าอย่าง ลูคัส ราเดเบ้ และ เดวิด แบ็ตตี้ บวกกับสตาร์อย่าง มาร์ค วิดูก้า ที่ดึงเข้ามา ลีดส์ ยูไนเต็ด จึงไปได้ไกลถึงรอบตัดเชือก ยูฟ่า คัพ เมื่อปี 2000 และรอบรองชนะเลิศ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ในฤดูกาล 2000-01
สูงสุดคืนสู่สามัญ
ความสำเร็จ ต้องแลกมาด้วยการลงทุน ครั้งที่ ลีดส์ ยูไนเต็ด โลดแล่นสร้างผลงานในฟุตบอลถ้วยยุโรป ซูเปอร์สตาร์ต่างหลั่งไหลเข้าสู่สโมสร แต่เมื่อเกิดเรื่องผิดแผน ทีมจบอันดับ 4 ของตารางในฤดูกาล 2000-01 พลาดตั๋วไปเตะยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ทำให้สโมสรสูญรายได้มหาศาล รายรับไม่เพียงพอที่จะมากลบรายจ่ายที่มากขึ้นในแต่ละปี ค่าเหนื่อยนักเตะคือปัญหาใหญ่ ทีมจำใจต้องขายซูเปอร์สตาร์อย่าง ริโอ เฟอร์ดินานด์ , โจนาธาน วู้ดเกต และ แฮร์รี่ คีเวลล์ เพื่อหวังพยุงสถานะทางการเงิน แต่ก็ทำได้เพียงประคองให้รอดไปวันๆ
จากทีมที่เคยสร้างประวัติศาสตร์เข้าถึงรอบตัดเชือกฟุตบอลยุโรปถ้วยใบใหญ่เป็นครั้งแรก ลีดส์ ยูไนเต็ด กลายสภาพไปเป็นทีมระดับลีกรอง ตกชั้นไปในฤดูกาล 2003-04 ดังนั้น บอร์ดบริหารหมดสิ้นหนทาง ต้องขายนักเตะกินอีกครั้ง มาร์ค วิดูก้า , เจมส์ มิลเนอร์ , เอียน ฮาร์ท , อลัน สมิธ หรือแม้แต่ สตีเฟ่น แม็คเฟล ต้องแยกย้ายไปคนละทิศละทาง ซึ่งหลังจากนั้น “ยูงทอง” ก็สาละวนอยู่ในลีกรองมายาวนานกว่าทศวรรษ บางซีซั่นหล่นไปอยู่ในลีกวัน หรือ ดิวิชั่น 2 เดิมของอังกฤษ ด้วยซ้ำไป
“ยูงทอง” ในมือ “คนบ้า”
นับตั้งแต่กระเด็นจากลีกสูงสุด ลีดส์ ยูไนเต็ด เปลี่ยนกุนซือมาทั้งหมด 17 ราย จนกระทั่ง อันเดรีย ราดริซซานี่ เข้ามาเทคโอเวอร์ทีมเมื่อปี 2017 จากนั้นฤดูกาลถัดมา นักธุรกิจชาวอิตาเลียน ตัดสินใจหยิบยื่นอนาคตของสโมสรให้ “คนบ้า” ดูแล
มาร์เซโล่ บิเอลซ่า กุนซือชาวอาร์เจนไตน์ เจ้าของฉายา “เอล โลโก้” หรือที่หมายความว่า “คนบ้า” ถูกเลือกให้มาทำงานในถิ่นเอลแลนด์ โร้ด ด้วยสัญญา 2 ปี และเพียงปีแรกเท่านั้น โค้ชมากประสบการณ์ที่ทำทีมในบ้านเกิด รวมถึง ลุยลีกสเปน , อิตาลี , ฝรั่งเศส มาแล้ว แปลงสภาพ “ยูงทอง” จากทีมกลางตาราง ให้ติดปีกผงาดขึ้นมาจบอันดับ 3 ของฤดูกาล 2018-19 แม้สุดท้าย ลีดส์ พ่ายแพ้ให้ ดาร์บี้ เคาน์ตี้ ในรอบตัดเชือกของเพลย์ออฟ แต่ บิเอลซ่า ยังอาศัยลูกบ้าเที่ยวล่าสุด ปลุกทีมสู้กันต่อไป
จนกระทั่งฤดูกาล 2019-20 ถือเป็นการสิ้นสุดการรอคอยอันยาวนาน 16 ปี เมื่อ บิเอลซ่า ผู้เดินจากบ้าน 45 นาที ไปทำงานที่สนามทุกวัน ก็พาทีมคว้าแชมป์เดอะแชมเปี้ยนชิพ ได้เลื่อนชั้นสู่พรีเมียร์ลีกได้สำเร็จ จึงไม่น่าแปลกใจที่จะเห็นแฟนๆ “ยูงทอง” ออกจากเคหะสถานมารวมตัวแสดงความยินดีซึ่งกันและกัน โดยไม่หวั่นต่อภัยร้ายของไวรัสโควิด-19
ซึ่งก็แน่นอนว่า คนที่ทำงานหนักอย่าง บิเอลซ่า ต้องได้รับการแซ่ซ้อง แฟนบอล ลีดส์ บางราย ตั้งใจจะไปสักรูปใบหน้าของโค้ชไว้ตามร่างกาย หลายคนอย่างให้สภาเมืองอนุมัติให้มีถนนชื่อว่า บิเอลซ่า โร้ด ที่สำคัญ กุนซือวัย 64 ปี กำลังจะได้สัญญาฉบับใหม่จากประธานสโมสร แม้ยังไม่มีการระบุว่าจะได้ต่อสัญญากันกี่ปี แต่แหล่งข่าวสืบเมืองผู้ดีสืบทราบมาว่า อดีตกุนซือทีมชาติอาร์เจนตินา และชิลี จะได้ค่าจ้างปีละ 8 ล้านปอนด์ หรือกว่า 300 ล้านบาท มากกว่าที่ โอเล่ กุนนาร์ โซลชา รับอยู่กับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ปีละ 7.5 ล้านปอนด์ ซึ่งนั่นจะทำให้ บิเอลซ่า กลายเป็นกุนซืออันดับ 6 ของพรีเมียร์ลีก ที่ได้ค่าเหนื่อยแพงสุดเป็นรองแค่ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า , เจอร์เก้น คล็อปป์ , โชเซ่ มูรินโญ่ , คาร์โล อันเชล็อตติ และ เบรนแด้น ร็อดเจอร์ส เท่านั้น
“สงครามดอกกุหลาบ” ที่หลายคนรอคอย
ไม่ใช่แค่สงครามแข้งฟาดฟันกันในสนามเท่านั้น ลีดส์ ยูไนเต็ด กับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ยังถูกโยงด้วยประวัติศาสตร์ ทำให้เมื่อใดที่ทั้งสองสโมสรพบเจอกัน ศึกนั้นจะถูกขนานนามว่า “War of the Roses” หรือ “สงครามดอกกุหลาบ”
ย้อนกลับไปในยุคที่อังกฤษเกิดสงครามกลางเมือง ช่วงปีคริสต์ศักราช 1455-1485 ราชสกุลแลงคาสเตอร์ ที่ครองแผ่นดินในยุคนั้น นำโดย พระเจ้าเฮนรี่ ที่ 6 ซึ่งมีสัญลักษณ์ประจำตระกูลเป็น “กุหลาบแดง” ฟาดฟันกับ ดยุคแห่งยอร์ค ราชสกุลยอร์ค ที่มี “กุหลาบขาว” เป็นสัญลักษณ์ ซึ่งความแตกแยกครั้งนั้น ส่งผลกระทบต่อเรื่องของศาสนา เศรษฐกิจ ดินแดน หรือแม้แต่เรื่องของกีฬา ในเวลาต่อมา
แมนฯ ยูไนเต็ด ทีมลูกหนังแห่งแคว้นแลงคาเชียร์ ซึ่งมีสัญลักษณ์เป็นสีแดง ฟาดฟันกับ ลีดส์ ยูไนเต็ด สโมสรแห่งยอร์คเชียร์ ที่มีสัญลักษณ์ดอกกุหลาบสีขาว ติดอยู่บนหน้าอก เรียกได้ว่า ทั้งสองทีมห้ำหั่น แข่งขันเรื่องความสำเร็จกันมาตลอด และเมื่อฤดูกาล 1991-92 แฟนบอล “ยูงทอง” ไม่มีครั้งไหนจะสะใจไปกว่านี้อีกแล้ว เมื่อพวกเขาสามารถครองแชมป์ลีกสูงสุดสมัยที่ 3 ในประวัติศาสตร์ ด้วยการเหยียบศีรษะ “ปิศาจแดง” แมนฯ ยูไนเต็ด อันดับ 2 ก้าวขึ้นไปชูแชมป์
ในทางกลับกัน ก็ไม่มีครั้งไหนเช่นกันที่ แฟนๆ ยูไนเต็ด จะสะใจไปกว่าการได้เห็น ลีดส์ ยูไนเต็ด อริตลอดกาล ต้องตกเหวหล่นชั้นไปเล่นในลีกรอง หลังจบอันดับ 19 ในซีซั่น 2003-04
ดังนั้นคงไม่ต้องคาดเดาอะไรมากถึงบรรยากาศที่จะเกิดขึ้นกับ “สงครามดอกกุหลาบ” ในฤดูกาลหน้า นี่จะเป็นศึกที่ร้อนระอุมากกว่าหลายๆ ดาร์บี้แมตช์ ไม่ว่า ลีดส์ ยูไนเต็ด จะอยู่ในสภาพใด ณ ตอนนั้น แต่การันตีได้เลยว่า แมนฯ ยูไนเต็ด จะไม่ได้กำชัยชนะแบบง่ายๆ แน่นอน ไม่ว่าจะแข่งกันที่ใด เอลแลนด์ โร้ด หรือ โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด หรือแม้แต่สังเวียนนอกสนามก็ตาม คอบอลอังกฤษโดยเฉพาะยุค 90 เตรียมรำลึกความหลังกันให้ดี ส่วนแฟนบอลรุ่นใหม่ ก็จะได้สัมผัสอีกหนึ่งอรรถรสในเกมลูกหนังที่คุณอาจไม่คุ้นเคย
ติดตามข่าวสารได้ที่ :: ข่าวฟุตบอล ใหม่สด ทุกวัน
บทความข่าวฟุตบอล :: อ่านบทความฟุตบอลก่อนหน้านี้
เว็บดูบอลออนไลน์ :: ดูบอลออนไลน์ฟรี